การดูแลรักษาที่นอน
ก่อนอื่นควรพิจารณารูปแบบของที่นอน เนื่องจากที่นอนปัจจุบันมี 3 แบบหลัก ได้แก่
-
ที่นอนใช้งานได้ 2 ด้าน โดยทั้ง 2 ด้านเหมือนกัน
-
ที่นอนใช้งานด้านเดียว
-
ที่นอน 2 ด้าน แต่ทั้งสองด้านมีคุณสมบัติต่างกัน เช่น ด้านบนนุ่ม ด้านล่างแน่น
สำหรับการ พลิกกลับด้านที่นอน สามารถทำได้เฉพาะแบบแรกเท่านั้น ส่วนแบบที่สองไม่สามารถพลิกกลับได้ และแบบที่สามสามารถพลิกกลับได้ตามความชอบของผู้ใช้ เพราะแต่ละด้านถูกออกแบบให้มีคุณสมบัติต่างกัน
การพลิกกลับด้านช่วยยืดอายุการใช้งาน แต่หากที่นอนเกิดปัญหา เช่น ยุบหรือยวบ การพลิกกลับด้านจะไม่แก้ปัญหา เพราะตำแหน่งยุบหรือยวบจะยังอยู่เหมือนเดิม
ในกรณีที่เกิดปัญหา ผู้ใช้สามารถแจ้งเคลมกับบริษัทหรือตัวแทนจำหน่ายได้ หากยังอยู่ในระยะเวลารับประกัน บริษัทจะตรวจสอบและแก้ไขให้ โดยระยะเวลาในการดำเนินการขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท







เรื่องนี้สำคัญสำหรับที่นอนทุกรุ่นทุกแบรนด์ โดยทั่วไปสปริงของที่นอนมีความหนาประมาณ 0.9–2.4 มิลลิเมตร และทำงานร่วมกันเป็นระบบ จึงไม่สามารถรับน้ำหนักจากจุดเดียวเพียงไม่กี่สปริงได้ การยืนหรือกระโดดบนที่นอนจะทำให้สปริงเพียง 2–6 ตัวต้องรับแรงกดทับสูง อาจทำให้สปริงล้ม หัก หรือเสียประสิทธิภาพ ส่งผลให้ที่นอนยวบได้
ดังนั้น ไม่ควรยืน เหยียบ หรือกระโดดบนที่นอน สำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ แนะนำให้เลือกที่นอน ยางพารา หรือยางพาราสังเคราะห์ ซึ่งจะไม่เด้ง รวมถึงเวลาใช้งาน 2 คนจะไม่สะเทือนถึงกัน และปัญหาสปริงล้มหรือหักก็จะไม่เกิดขึ้นอีกด้วย


มาตรฐานทั่วไปของที่นอนมักมี อายุการใช้งาน 5–10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลและการใช้ที่นอนอย่างถูกต้อง แต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อมี ระยะเวลารับประกันแตกต่างกัน ตั้งแต่ 10 ปี จนถึง 20 ปี ซึ่งไม่ได้หมายความว่าที่นอนจะใช้งานได้ยาวนานเท่าระยะประกันจริง จากประสบการณ์ในอุตสาหกรรมพบว่า อายุการใช้งานที่คุ้มค่าจริงๆ อยู่ประมาณ 70–80% ของระยะเวลารับประกัน สาเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการเสื่อมของที่นอน แต่เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงของร่างกายผู้นอนตามอายุ ทำให้ความรู้สึกสบาย ความชอบ และสุขภาพจึงทำให้เหมาะกับที่นอนในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป